รวม 20 วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย ว่ามีวิธีอะไรบ้าง

20 วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้

การแพ้สามารถเป็นสาเหตุของความไม่สบายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้หลายคนมองหาวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ด้วยสารก่อภูมิแพ้มากมายในชีวิตประจำวัน เช่น ละอองเกสรดอกไม้ สะเก็ดผิวหนังสัตว์ และไรฝุ่น การมีแนวทางเชิงรุก เพื่อลดอาการภูมิแพ้จึงเป็นเรื่องสำคัญ การเข้าใจถึงวิธีจัดการสภาพแวดล้อม และสุขอนามัยเป็นกุญแจสู่การลดอาการแพ้ รวมไปถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

เส้นทางสู่การป้องกันอาการภูมิแพ้มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตธรรมดาๆ ไปจนถึงการรักษาด้วยการแพทย์เมื่อจำเป็น ง่ายๆ แค่รักษาความสะอาดในที่อยู่อาศัยก็ช่วยลดโอกาสสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ส่วนในระดับที่ต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น บุคคลทั่วไปอาจพิจารณาการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งช่วยลดความไวต่อสารก่อภูมิแพ้เมื่อเวลาผ่านไป กลยุทธ์แต่ละอย่างถือเป็นหนึ่งด่านป้องกันที่จะทำให้เราใช้ชีวิตสบายขึ้นและทนทานต่ออาการภูมิแพ้มากยิ่งขึ้น

สารบัญ

1. เข้าใจสารก่อภูมิแพ้

2. การรักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาด

3. ข้อควรคำนึงด้านอาหาร

4. สุขอนามัยส่วนบุคคล

5. การปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร

6. การป้องกันอาการภูมิแพ้ในบ้าน

7. การจัดการอาการแพ้กลางแจ้ง

8. การรักษาทางการแพทย์

9. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

10. ความตระหนัก และการให้ความรู้

เข้าใจสารก่อภูมิแพ้

สารก่อภูมิแพ้คือสารที่สามารถกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิแพ้ในผู้ที่มีความไวต่อสารเหล่านั้น โดยปกติแล้วสารก่อภูมิแพ้จะไม่เป็นอันตรายต่อคนส่วนใหญ่ แต่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ที่มีอาการแพ้จะระบุว่าสารเหล่านี้เป็นภัยคุกคามอย่างผิด ๆ จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง

สารก่อภูมิแพ้ทั่วไป ประกอบด้วย

  • ละอองเกสร : เกิดจากต้นไม้ และพืช โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
  • ไรฝุ่น : สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในฝุ่นละอองภายในบ้าน
  • เชื้อรา : เชื้อราชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ชื้น
  • สะเก็ดผิวหนังสัตว์ : เศษผิวหนังขนาดเล็กที่สัตว์ที่มีขน หรือปีกผลัดออกมา เช่น สุนัข และแมว
  • อาหาร : เช่น ถั่ว อาหารทะเลที่มีเปลือก ผลิตภัณฑ์นม และไข่

สารก่อภูมิแพ้สามารถแบ่งตามแหล่งที่มาได้ดังนี้

สิ่งแวดล้อม อาหาร อื่นๆ
ละอองเกสรดอกไม้ ถั่ว แมลงกัดต่อย
ไรฝุ่น อาหารทะเลประเภทมีเปลือก ยารักษาโรค
เชื้อรา ผลิตภัณฑ์นม ยางธรรมชาติ (น้ำยางพารา)
สะเก็ดผิวหนังสัตว์ ไข่

การป้องกันเริ่มต้นด้วยการระบุว่าบุคคลนั้นแพ้อะไร การทดสอบภูมิแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ที่ส่งผลต่อบุคคลนั้น เมื่อระบุได้แล้ว ก็สามารถดำเนินการต่างๆ เช่น การควบคุมสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ หรือการรักษาทางการแพทย์อย่างการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดเพื่อลดความไว การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เป็นสิ่งสำคัญ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ การลดการสัมผัสถือเป็นทางที่ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ หรือผ้าคลุมกันไรฝุ่น เพื่อจำกัดการสัมผัสไรฝุ่น

สำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากอาการแพ้ตามฤดูกาล การรู้ปริมาณละอองเกสรในพื้นที่ และการอยู่ภายในบ้านในวันที่ปริมาณละลองเกสรสูงอาจลดอาการได้ ในทำนองเดียวกัน ขอแนะนำให้ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารอ่านฉลากอาหารอย่างละเอียด และแจ้งข้อจำกัดด้านอาหาร เมื่อรับประทานอาหารนอกบ้าน

การรักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาด

บ้านที่ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ขึ้นอยู่กับความสะอาด โดยใช้วิธีเฉพาะ เช่น การสร้างพื้นที่ปลอดฝุ่น และการใช้ตัวกรอง HEPA (HEPA filters) บุคคลทั่วไปสามารถลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมาก

พื้นที่อยู่อาศัยปลอดฝุ่น

การทำความสะอาดเป็นประจำ ช่วยลดการสะสมของฝุ่น ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของสารก่อภูมิแพ้ในร่ม ควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือไม้ถูพื้นทำความสะอาดพื้น และพื้นผิว เนื่องจากวิธีนี้ช่วยดักจับ และขจัดฝุ่นแทนที่จะกระจายไปในอากาศ

การใช้ตัวกรอง HEPA เป็นประจำ

ตัวกรอง HEPA มีประสิทธิภาพสูงในการดักจับอนุภาคในอากาศ รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ทั่วไป เช่น ละอองเกสรดอกไม้ สะเก็ดผิวหนังสัตว์ และไรฝุ่น ควรใช้ตัวกรองเหล่านี้ ในเครื่องดูดฝุ่น และเครื่องฟอกอากาศ และต้องเปลี่ยนตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิทธิภาพ

ลดเชื้อราในร่ม

เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา จำเป็นต้องรักษาความชื้นในร่มให้ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ควรทำความสะอาดเชื้อราที่มองเห็นได้ทันทีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อรา และควรจัดการกับการรั่วซึม หรือบริเวณที่มีความชื้นในบ้านโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราก่อตัว

การควบคุมสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยง

สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงจำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อยขึ้น แนะนำให้อาบน้ำสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ และจัดพื้นที่ปลอดสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในห้องนอน เพื่อจำกัดการแพร่กระจายของสะเก็ดผิวหนังสัตว์เลี้ยง

ข้อควรคำนึงด้านอาหาร

เมื่อต้องป้องกันอาการแพ้ การเข้าใจ และจัดการด้านอาหารถือว่าสำคัญมาก อาหารบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นการระบุชนิดอาหารเหล่านั้น และหลีกเลี่ยงควบคู่กับการรักษาสมดุลทางโภชนาการจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การระบุอาหารที่กระตุ้นอาการแพ้

อันดับแรกบุคคลควรระบุสารอาหารที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ กระบวนการนี้มักเกี่ยวข้องกับการงดอาหารบางประเภท ตามด้วยการรับประทานอาหารชนิดนั้นอีกครั้งภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจง การบันทึกชนิดอาหารที่ทานเข้าไป และอาการที่พบในสมุดบันทึกอาหาร สามารถช่วยในกระบวนการระบุนี้ได้ หากต้องการวิธีการที่ละเอียดมากขึ้น โปรดดูแนวทางการจัดการด้านโภชนาการสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อาหาร

การนำอาหารที่คำนึงถึงการแพ้ไปใช้

หลังจากระบุสารที่กระตุ้นอาการแพ้แล้ว บุคคลควรนำอาหารที่คำนึงถึงการแพ้ไปใช้ อาหารเหล่านี้จะหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ระบุได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับสารอาหารตามที่ต้องการ กลยุทธ์หลักได้แก่การอ่านฉลากอย่างระมัดระวัง การใส่ใจต่อความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้าม (cross-contact) และการให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับอาหารทางเลือกอื่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกัน แหล่งข้อมูลอย่างคู่มือของ Food Allergy Research & Education สามารถให้เคล็ดลับเชิงปฏิบัติสำหรับการจัดการด้านอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุขอนามัยส่วนบุคคล

สุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี สามารถเป็นแนวป้องกันด่านแรกที่แข็งแกร่ง ในการป้องกันอาการภูมิแพ้ วิธีการที่ละเอียด และปรับแต่งมาอย่างดี สามารถขจัดสารก่อภูมิแพ้ออกจากร่างกาย และลดโอกาสเกิดอาการแพ้ได้

การล้างมือบ่อยๆ

  • ควรล้างมือเมื่อไร : ควรล้างมือหลังจากเข้ามาในบ้าน ก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยง หรือสิ่งที่พาสารก่อภูมิแพ้ทั่วไปเข้ามา
  • เทคนิค : ใช้น้ำอุ่น และสบู่ ถูให้ทั่วอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อขจัดละอองเกสร ฝุ่น และขนสัตว์เลี้ยง

กิจวัตรการดูแลผิวสำหรับผู้เป็นภูมิแพ้

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ : เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปราศจากสารระคายเคืองทั่วไป เช่น น้ำหอม หรือสีย้อม
  • กิจวัตรประจำวัน : ทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งรวมถึงการล้างหน้า และผิวกาย เพื่อขจัดสารก่อภูมิแพ้ และทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อปกป้องชั้นผิว

การปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร

การปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันอาการภูมิแพ้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ เพื่อลดการมีอยู่ของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น สะเก็ดผิวหนังสัตว์ และเชื้อรา

วิธีการระบายอากาศที่เหมาะสม

การระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ในอาคาร สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แนะนำให้มีการระบายอากาศในพื้นที่ภายในอาคารเป็นอย่างดี เพื่อลดระดับสารก่อภูมิแพ้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้พัดลมดูดอากาศในห้องครัว และห้องน้ำสามารถป้องกันการสะสมของความชื้น และลดการเจริญเติบโตของเชื้อราได้

การใช้เครื่องลดความชื้น

การรักษาระดับความชื้นให้เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการป้องกันอาการภูมิแพ้ เครื่องลดความชื้นสามารถลดความชื้นส่วนเกินในอากาศ ซึ่งเป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตของไรฝุ่น และเชื้อรา สถาบันโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด และภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งอเมริกา แนะนำให้รักษาความชื้นต่ำกว่า 50% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิอากาศที่เปียกชื้น

การจัดการควัน และไอเสีย

การสัมผัสกับควัน และไอเสียอื่นๆ สามารถทำให้อาการภูมิแพ้แย่ลงได้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในอาคาร และใช้ช่องระบายอากาศขณะทำอาหาร เพื่อระบายควัน และกลิ่นออกไปข้างนอก นอกจากนี้ เราควรจำกัดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) เช่น น้ำยาทำความสะอาด และสีบางชนิด

การป้องกันอาการภูมิแพ้ในบ้าน

การทำให้บ้านป้องกันอาการภูมิแพ้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการดูแลรักษาเครื่องนอน และเบาะ รวมถึงลดการใช้สารเคมีและน้ำหอมต่างๆ มาตรการเหล่านี้ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ ที่มักเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้ลงได้อย่างมาก

การดูแลผ้าปูที่นอน และเครื่องหุ้มเบาะ

  • ซักผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์ : หุ้มหมอน ที่นอน และฐานเตียงด้วยปลอกกันไรฝุ่น และซักผ้าปูที่นอนทั้งหมดในน้ำร้อนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อฆ่าไรฝุ่น และกำจัดสารก่อภูมิแพ้
  • ดูดฝุ่นเป็นประจำ : ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA ทำความสะอาดพรม พื้นพรม และเครื่องหุ้มเฟอร์นิเจอร์อย่างทั่วถึง เพื่อลดฝุ่น ขนสัตว์เลี้ยง และสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ
  • การเลือกเฟอร์นิเจอร์ : เลือกใช้หนัง หรือพื้นผิวเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย ซึ่งมีโอกาสสะสมสารก่อภูมิแพ้น้อยกว่า เมื่อเทียบกับเบาะผ้า

ลดการใช้สารเคมี และน้ำหอม

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีกลิ่น : เลือกน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่มีกลิ่น หรือไม่มีน้ำหอม เพื่อลดการนำสารเคมีที่อาจระคายเคืองเข้าสู่สภาพแวดล้อมภายในบ้าน
  • ลด VOCs : ใช้สี และกาวที่มีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ต่ำ เพื่อลดสารระคายเคืองในอากาศ และปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร

การจัดการอาการแพ้กลางแจ้ง

การจัดการอาการแพ้กลางแจ้งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการลดละอองเกสรดอกไม้เชิงยุทธวิธี และมาตรการที่เข้มงวด เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากแมลง วิธีการเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อลดโอกาสเกิดอาการแพ้ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การลดการสัมผัสละอองเกสรดอกไม้

  • ติดตามข่าวสาร : ตรวจสอบการพยากรณ์ละอองเกสรในท้องถิ่นเป็นประจำ เพื่อทราบว่าเมื่อใดที่ระดับละอองเกสรสูง และวางแผนกิจกรรมกลางแจ้งตามนั้น
  • สร้างเกราะป้องกัน : สวมแว่นกันแดด และหมวก เพื่อป้องกันละอองเกสรดอกไม้จากดวงตา และเส้นผมของคุณ ทาปิโตรเลียมเจลลี่ด้านในรูจมูก เพื่อดักจับ และป้องกันละอองเกสร
  • การกรองอากาศภายในที่พักอาศัย : ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรอง HEPA ที่บ้านเพื่อลดปริมาณละอองเกสรในอาคาร ซึ่งสามารถมาจากภายนอกได้

การป้องกันสารก่อภูมิแพ้จากแมลง

  • ยากันแมลง : ทายากันแมลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีส่วนผสมของ DEET บนผิวหนังที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุม เพื่อป้องกันแมลงกัดต่อย
  • สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม : แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะมีแมลง เลือกเสื้อผ้าสีอ่อน เพื่อให้มองเห็นแมลงได้ง่าย
  • ยาแก้แพ้ : พิจารณาใช้ยาแก้แพ้ล่วงหน้า หากแมลงกัดต่อยทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์

การรักษาทางการแพทย์

เมื่อต้องป้องกันอาการภูมิแพ้ การรักษาทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญ ด้วยวิธีการเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีตัวเลือกต่างๆ ในการรักษา และวิธีปฏิบัติตัวที่จะช่วยบรรเทาอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิต

ยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยา

ยาแก้แพ้ที่ไม่ต้องมีใบสั่งยาส่วนใหญ่จะหาซื้อได้ง่าย และช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ทั่วไป ยาแก้แพ้ (Antihistamines) จะได้ผลในการช่วยลดอาการจาม คัน และน้ำมูกไหล ขณะที่สเปรย์พ่นจมูกชนิดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (nasal corticosteroids) จะช่วยลดอาการบวมของโพรงจมูก และลดอาการคัดจมูก ยาแก้คัดจมูก (Decongestants) สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกเป็นระยะเวลาสั้นๆ ส่วนสเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูก (saline nasal sprays) ช่วยทำให้โพรงจมูกสะอาด และปราศจากสิ่งระคายเคือง

การทดสอบอาการภูมิแพ้โดยผู้เชี่ยวชาญ

การทดสอบหาอาการภูมิแพ้ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับคนที่ประสบกับอาการภูมิแพ้ต่อเนื่อง และรุนแรง ขั้นตอนนี้มักจะทำโดยนักภูมิแพ้ (allergist) เพื่อหาสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ ด้วยความรู้นี้ จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ จะสามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้

ทางเลือกด้านภูมิคุ้มกันบำบัด

การทำภูมิคุ้มกันบำบัด รวมถึงการฉีดยาแก้แพ้ (allergy shots) และการรักษาภูมิแพ้ใต้ลิ้น (sublingual immunotherapy หรือ SLIT) นำเสนอวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวโดยมีเป้าหมายในการลดความไวของผู้ป่วยต่อสารก่อภูมิแพ้ การฉีดยาภูมิแพ้จะเป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่การรักษาภูมิแพ้ใต้ลิ้นจะเป็นการอมยาที่มีสารก่อภูมิแพ้ใต้ลิ้น ทั้งสองวิธีจำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และใช้เวลาพอสมควร แต่จะช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการป้องกันอาการภูมิแพ้ การปรับตัวเหล่านี้ มุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ และเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในร่างกาย

เทคนิคการลดความเครียด

การผสมผสานเทคนิคการลดความเครียดเข้าไว้ด้วยกัน สามารถส่งผลดีต่อการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ได้ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้อาจพบว่าการปฏิบัติต่างๆ เช่น การทำสมาธิ การฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ และการเล่นโยคะ ช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการภูมิแพ้ได้ โดยการลดความเครียด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทำให้เกิดปฏิกิริยาของอาการภูมิแพ้ที่รุนแรงมากขึ้น

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การมีตารางออกกำลังกายประจำวัน ไม่เพียงส่งผลดีต่อสุขภาพภาพรวม แต่ยังอาจช่วยลดผลกระทบจากอาการภูมิแพ้ได้อีกด้วย การออกกำลังกายทุกวัน เช่น การเดินเร็ว 30 นาที หรือการปั่นจักรยาน สามารถช่วยพัฒนาสุขภาพหลอดเลือด และหัวใจ และช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สิ่งสำคัญ คือ การออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่สารก่อภูมิแพ้มีปริมาณน้อย เช่น การออกกำลังกายในโรงยิมระหว่างฤดูที่มีละอองเกสรดอกไม้สูง

ความตระหนัก และการให้ความรู้

การให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ และการรับรู้สัญญาณต่างๆ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกัน ความตระหนักรู้ที่เหมาะสม สามารถนำไปสู่การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การจดจำอาการภูมิแพ้

แต่ละคนควรรู้จักอาการภูมิแพ้ทั่วไป ซึ่งมักจะรวมถึงการจาม คัน ลมพิษ และอาการบวม การรับรู้ถึงอาการเหล่านี้ สามารถกระตุ้นให้มีการดำเนินการอย่างทันท่วงที และป้องกันอาการที่รุนแรงกว่าได้ มูลนิธิโรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้แห่งอเมริกา จัดหาแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการจดจำ และป้องกันโรคภูมิแพ้

ติดตามข้อมูลเทรนด์ของอาการภูมิแพ้

การติดตามเทรนด์ของอาการภูมิแพ้ล่าสุด ถือเป็นเรื่องสำคัญ คนที่เป็นภูมิแพ้ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาใหม่ๆ เทคนิคการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และสถิติเกี่ยวกับการเกิดอาการภูมิแพ้ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมในกิจกรรมชุมชนในช่วงเดือนแห่งการรับรู้โรคหอบหืด และภูมิแพ้แห่งชาติ สามารถเพิ่มพูนความรู้ของพวกเขาได้ นอกจากนี้ แหล่งข้อมูล เช่น ที่จัดหาโดยองค์กร Food Allergy Research & Education สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันในสถานที่ต่างๆ รวมถึงกลยุทธ์ที่แนะนำ สำหรับการจัดการกับอาการแพ้อาหารในห้องเรียน